วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

งอ งาน นั้นหายาก


อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ธุรกิจแล้วแนวโน้ม คนว่างงานปี 52-53 นี้ เป็น 1,000,000 คน รวมนักศึกษาที่จบใหม่เข้าไปอีกด้วย ซะงั้น อ่านแล้วรู้สึกหดหู่พิกล เศรษฐกิจชะลอตัว

หลายคนคงมีเพื่อน พี่ น้อง วิ่งหางานกันให้ละวิง คิดแล้วนึกถึงสมัยที่วิ่งหางาน เที่ยวส่งเอกสารสมัครงานไปทั่ว ถ่ายเอกสารกันมือหงิก หลายที่บอกว่าเต็ม หลายที่บอกเดี๋ยวเรียกตัว หลายที่บอกคุณสมบัติไม่ถึง โอ้แม่เจ้า ช่างยากเย็นอะไรอย่างนี้

นายว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง หรือว่าหากเป็นงานที่สานต่อจากครอบครัว แบบเต็มตัว ก็คงจะหาลูกค้ายากมากขึ้นเนอะ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ลูกค้าวิ่งหาเรา

เดี๋ยวนี้ลูกค้าขี้งอนด้วย ตอบเมล์ช้าหน่อยทำงอน เดี๋ยวก็หนีไปลอนดอนเลยหนิ ลูกค้า ต่างประเทศเดี๋ยวนี้เค้าเก่งมากขึ้นแหะ กับการหาแหล่งสินค้าราคาถูก ยิ่งมี Internet ยิ่งเปรียบเทียบได้เร็วกว่าเดิม ไม่ต้องวิ่งเข้าโรงงานเพื่อเปรียบเทียบเหมือนแต่ก่อน

หากย้อนเวลาได้จะกลับไปช่วยพ่อทำตลาดให้มากกว่าเดิม แล้วจะแอบจิ๊กตังค์พ่อเพิ่มอีก

คิ๊กๆๆ โดเรม่อน ช่วยโตยเตอะ...........

นายเชียงใหม่

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ได้เวลาก้าวเดิน

หลังจากที่สมัคร Blog มานานก็ได้เริ่มเขียนซะที คงจะเป็นการเขียนไดอารีอีกแบบหนึ่งที่พยายามจะสอดแทรกมุมมองที่แตกต่างขึ้น รวมถึงแม้กระทั่งเหตุกาณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อจับเป็นประเด็น หลายคนอาจลืมไปแล้วหรือกำลังประสบอยู่

เกือบสามสิบปีแล้วที่เดิน อยู่บนเส้นทางที่มีทั้งสุข เศร้า เหงา รัก รวมทั้งเกือบเป็น NPL ผมก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับสถานที่ เวลาเขียนไดอารี่ ณ วันที่เขียนนี้นั่งอยู่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในปั๊มน้ำมัน มันก็เพลินดีเหมือนกัน ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน มันรู้สึกตันๆไงพิกล

มีข่าวแว่วมาว่าเชียงใหม่ เป็นเมืองที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุด อ.สมิธ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ผมเองอยู่เชียงใหม่มาก็ หลายสิบปีแล้ว สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอยู่บ่อยครั้ง ดึกๆอาจมีกรอบรูปแกว่งไปแกว่งมา เตียงสั่น นึกว่าโดนผีอำ แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก แต่ละวันก็ดำเนินชีวิตต่อไป

ผมว่าภัยธรรมชาติตอนนี้ ยังไม่ค่อยน่ากลัวเท่าเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ทำเอาบรรดาพ่อค้าแม่ค้าหน้างิ๊กนั่งเม้าไปตามๆกัน ผมเองก็โดนผลกระทบเศรษฐกิจไม่น้อย ธุริกจที่ดำเนินอยู่ก็สะดุด คนงานเริ่มมีเสียงเซ็งแซ่ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่เป็นการจ้างรายวัน บางวันจำเป็นต้องหยุด

หลายคนคงเริ่มมองหาช่องทาง การหารายได้ใหม่ๆ สมัยนี้มีเต็มไปหมดอยู่ที่ว่าใครจะคว้าได้ก่อน อินเทอร์เน็ตกำลังบูม การหารายได้ก็มากขึ้น คงเคยได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆที่มีคนร่ำรวยจากอินเทอร์เน็ต แต่ก็มีคนไม่น้อยที่โดนหลอกผ่านช่องทางนี้ ผมเองรู้สึกเบื่อกับอีเมล์ขยะที่เข้ามาบอกว่า เป็นลูกคนนั้น คนนี้ มีเงินรออยู่หลายล้านต้องการคนช่วยเหลือ ก๊อบปี้ข้อความกันไปกันมา ไม่เปลี่ยนแนวซะที ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่ครับ

ผมเองเคยโดนพวกต้มตุ่น โทรศัพท์มาบอกคุณคือผู้โชคดี จากการสุ่มรับเงินรางวัลหลายหมื่นแต่ต้องจ่ายค่าภาษี ผมเองก็งง ตอนแรกก็ดีใจไม่ใช่น้อยรีบเดินไปที่ตู้ ATM ผมไม่แน่ใจเลยถอนเงินสดออกมาก่อน แล้วพวกนั้นก็โทรมาให้กดโอนเงิน จะบ้าหรอมีที่ไหนให้เราโอนเงินไปก่อน เกือบเสียตังค์แล้วครับพี่น้อง

ณ ตอนที่เขียนนี้อยู่ด้านนอกร้านกาแฟ อากาศร้อนอบอ้าวมาก เหมือนฝนจะตก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยรักษาสุขภาพด้วยนะครับ

แล้วเจอกันใหม่

เสม็ดทำไมต้องเสร็จทุกราย

เสม็รอบที่...3

ไม่แน่ใจทำไมหลาย ๆ คน ต้องพูดว่า ไปเสม็ดเสร็จทุกราย คำนี้ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียน รวมแล้วการเที่ยวเสม็ดก็ 3 รอบ ไปกับเพื่อน 3 กลุ่ม สมัยตอนเรียนส่วนใหญ่เที่ยวซะ แต่ดอยกับดอยมากกว่า ยิ่งช่วงหน้าฝนยิ่งท้าทาย มันช่างเละ เปียก ชื้น และก็ทากแยะ การเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก พร้อมโอบล้อมไปด้วยความเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ระยะทางไม่ใช่น้อยกับการเดินทางแต่ละทริป ไม่มีแสงเสียง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก แต่ต่างกับการเที่ยวทะเล ซึ่งตั้งแต่คิดที่จะเดินทางไปก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่างแล้ว

ยิ่งเกาะเสม็ดซึ่งก็เป็นแหล่งฮิตที่หนึ่ง ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวซักครั้ง ซึ่งจะอาจอยูที่่เป้าหมายของแต่ละคนมากกว่า กับจุดหมายแต่ละที่ ความสนุของเสม็ด อาจอยู่ที่การได้สัมผัสกับคลื่นและไอทะเล ฟังเสียงตลื่นกระทบฝั่ง นั่งจิบเบียร์เย็นๆ ตกกลางคืนนั่งริมหาดมองดูดาว พร้อมกับเพื่อนๆ กับครั้งแรกทุก ๆ ที่ ผมว่าแต่ละคนคงสนุก และตื่นเต้นไม่น้อยกับการเจออะไรใหม่ ๆ แต่หากไปบ่อยเข้าอาจจะนึกย้อนถามตัวเองว่าเรากำลังจะไปค้นหาอะไร หรือแค่เปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่การไปเที่ยวทะเลทุกครั้งสิ่งที่ได้กลับมา ล้วนแต่ ความสนุกกับเพื่อนๆในอีกรูปแบบ ซึ่งต่างจากการเที่ยวดอยความนุกจะอีกรสชาติหนึ่ง เที่ยวดอยจะเกิดความกลมเกลียวกัน เนื่องจากต้องคอยดูแล ชวยเหลือกัน ยิ่งตอนต้องปีนป่ายยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการท่องเที่ยวก็คือ ความสนุกสนาน แต่ละสถานที่ก็ให้บรรยากาศแตกต่างกันไป มันต้องลองเที่ยวดูแล้วจะรุ้ว่าแตกต่างอย่างไร มัวแต่ทำงานอย่างเดียวชีวิตนี้ จะขาดสีสันไป ลองซะแล้วคุณจะติดใจกับการท่องเที่ยวในประเทศ

หากอยากรู้ว่าเที่ยวดอยเป็นอย่างไร ขอแนะนำช่วงปลายฝนต้นหนาว มันช่างเละซะจริงครับ พี่น้อง