วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ใครว่าชาวนาไม่เคยเป็นที่หนึ่ง

    กว่า 4 ปีแล้ว ที่ไอเดียการออกแบบ โคมไฟชาวนาคอลเล็กชั่นนี้ ออกมาสู่สายตาชาวเมือง กับแนวความคิดการนำสิ่งที่เราเห็นในสมัยเด็ก มิใช่ปัจจุบันนี้ เห็นยากลงทุกที อาทิ ชาวนาที่สวมใส่งอบ เจ้าทุยเคี้ยวหญ้า หุ่นไล่กา (ซึ่งปัจจุบันหุ่นไล่กา เค้าพัฒนาแล้ว) 

มันเป็นอารมณ์และความรู้สึกที่นึกถึง ความหอมของท้องทุ่ง พร้อมกับสายลมอ่อนๆ พัดพายอดข้าวปลิวตามแรงลม ยิ่งตอนเกี่ยวข้าวแล้วฝนตกใส่ ยิ่งหอม เมื่อไหร่ที่ลงไปวิ่งเล่น ก้จะโดนต้นข้าวบาดขาเอา แต่สมัยเด็กๆนึกอย่างเดียวคือความสนุก ไม่ต้องคิดอะไรมาก

แต่เดี๋ยวนี้การแข่งขันในด้านต่างๆสูงขึ้น แรงกดดันไม่ได้มาจากท้องถิ้น หรือ ประเทศไทย แรงกดดันนี้มาจากต่างประเทศด้วย สำหรับคนค้าขายคงนึกออก ยิ่งสภาวะนี้การคิดไม่ใช่คิดเพื่อออกแบบอย่างเดียว แต่ต้องคิดว่าออกแบบมาแล้วจะขายได้หรือไม่ หรือจะเป็นต้นแบบสำหรับแสดง ก็สุดแล้วแต่ แต่ละคน  

อย่างที่ผมเองเคยเล่าเกี่ยวกับการหาไอเดีย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากเราเค้นมันออกมา แล้วมันจะออก แต่มันเกิดจาก การปล่อยวาง ผ่อนคลาย แล้วมันก็ปิ๊งขึ้นมาเอง หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการคิดอย่างมีขั้นตอน จาก Idea Sketch มาถึง Sketch Design จนมาทำ Mockup ปรับมาจนเป็นต้นแบบ 

สำหรับไอเดียโคมไฟชาวนา ที่ผมขนกันไปทั้งครอบครัว 11 ชีวิต (ตัว) เพื่อนำไปถ่ายรูปยังกลางทุ่ง พร้อมลุ้นกับไอ่ทุยที่มันจะเห็นด้วยกับศิลปะนี้หรือไม่
สุดท้ายแล้วชาวนาที่เห็นจะออกลูกออกหลาน มีองค์ประกอบอื่นอีกหรือไม่ อยู่ที่การปล่อยวางนี่แหละครับ จะนำพาไอเดียต่อยอดไปได้ไกลเพียงใด....

Idea Story ( chaowna collection)




ไอเดียดีๆไม่ได้มีเสมอไป 
"จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม"

นาย นาย 
มากกว่าโคมไฟให้แสงสว่าง

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อการตลาดเข้าถึงตัว...แบบประชิด

แนวคิดการตลาดนี้น่าจะเป็นไอเดียสำหรับใครหลายๆคน ลองนำไปปรับใช้ดู ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษา มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ใช้เฉพาะการเลื่อนลำดับชั้นปี แต่นักษึกษาที่เข้าใหม่แต่ละปี มักพกความทันสมัย และเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาด้วย 

ลองนึกดูนะครับ อีกไม่นานนักศึกษาเพียงแค่ เอาโทรศัพท์มือถือไปแตะที่ตู้ กดปุ่มซักปุ่มเพื่อยืนยัน ก็สามารถซื้อสินค้าในตู้ได้แล้ว


นาย นาย
มากกว่าโคมไฟให้แสงสว่าง

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ดูละครแล้วย้อนดูเรา ดูหนังแล้วพลันจะเป็นจริง (เร็วๆนี้)

     ตั้งแต่สมัยเด็ก ครูหลายคนบอกผมเสมอว่าเมื่อดูละครแล้วย้อนดูเรา นั้นคือ นิยายหรือละครบางเรื่องล้วนมีเค้าโครงและแปลงมาจากชีวิตจริง ใกล้เคียงและตรงกับเราๆท่านๆมาก ตั้งแต่เล็กจนโตการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย จากจักรยาน มาเป็นรถยนต์ไอบริด จากพิมพ์ดีดมาเป็นคอนพิวเตอร์ระบบสัมผัส 

นั่นเพราะคนเราไม่ได้หยุดคิดและพัฒนา รวมทั้งค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาอยู่รอบๆตัวเองมากมายเพียงนี้ ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน ล้วนแล้วแต่อยู่กับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง และอีกไม่นานการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จะทำให้เราเองมีชีวิตที่เหมือนในหนังภาพยนต์หลายเรื่อง เช่น
Minority report


Iron Man 2


นั่นเพราะการคิดในสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา และไม่หยุดนิ่ง
เช่น สาวคนนี้แม้เพียงเดินผ่านกัน เธอผู้นั้นมีความต้องเสื้อผ้าในแบบเดียวกัน ก็สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆได้ครบถ้วน

หรือแม้แต่การกินอาหาร เทคโนโลยีจะบอกเราได้ว่า อาหารได้พลังงานเท่าใด เพียงพอหรือไม่

เพียงแค่การนัดเดทก็ทำให้เราใกล้ชิดข้อมูลซึ่งกันและกันมากขึ้น (สงสัยคงมีตารางการจีบกันเป็นขั้นแน่นอน)


ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะค่อยๆซึมลึกเข้ากับวิถีชีวิตเดิมๆของเรา จนมันเปลี่ยนบางอย่างเราไป ยกตัวอย่างอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง นั้นคือ


Microsoft Office Labs 2019 Vision Montage

เราจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีนั้นหรือไม่ คุณเท่านั้นเป็นผู้กำหนด

จงเตรียมพร้อมเสมอ เมื่อโอกาสมาถึงเราจะคว้ามัน..
นาย นาย
มากกว่าโคมไฟให้แสงสว่าง

คนกลางคืน

ชื่อเรื่องก็ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้นะครับว่า เกี่ยวเนื่องกับหนุ่มๆสาวๆที่ตะลอนราตรีหรือไม่ เปล่าเลย..คนกลางคืน ความหมายของคำนี้ มักจะเกี่ยวเนื่องกับคนที่กลางวันหลับหรือพักผ่อน กลางคืนออกนอกบ้าน อาจจะมีจุดประสงค์ต่างๆนานา เช่น ออกไปทำงาน ออกไปท่องราตรี หรือเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ 

แต่สำหรับคำนิยามคนกลางคืนของผมนั้น มันเกี่ยวเนื่องกับ คนที่ใช้เวลาในยามค่ำคืน คิดและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆออกมาจากสมอง โดยมีความเงียบและสงบเป็นตัวช่วย นั้นเพราะการหาแรงบันดาลใจ (สำหรับผมเอง) อาจจะต้องหลีกหนีจากความวุ่นวายในภาคกลางวัน ที่อะไรต่อมิอะไรถาโถมมา 360 องศา ทำใ้ห้สมาธิเตลิด 


หลายคนคงเป็นอย่างผมที่ใช้เวลากลางคืนหาไอเดียอะไรใหม่ๆ ลองดูนะครับ ซักค่ำคืนนั่งชิวๆ ตั้งเป้าหมายไว้ซักนิดว่า เราจะคิดเรื่องอะไร แต่ไม่ต้องกังวลกับมันมาก ปลอ่ยไปตามอารมณ์แล้วจะพบกับไอเดียที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครก็เป็นได้

สงบ สติ แล้ว สุขจะมาเอง
นาย นาย

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความสุขที่ต้องแลกกับพลัง...ความคิด

    หลายต่อหลายครั้งที่เคยตั้งข้อสงสัยว่า คนที่เป็นนักออกแบบ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และสรรสร้างสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างมากมาย เค้าขุดคุ้ยเอาไอเดียเหล่านี้มาจากไหน การออกแบบของบางอย่าง แทบเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราทุกคนเลย เช่น การประดิษฐ์หลอดไฟ การออกแบบ โคมไฟ การออกแบบรถยนต์ รวมมาจนถึง computer ที่เราทุกคนมานั่งจิ้มคีย์บอร์ดอยู่เช่นนี้ 

เมื่อลองศึกษาดู เค้าเหล่านั้นไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว หรือคิดแค่ครั้งเดียวแล้วประสบความสำเร็จ เกิดจากการลองผิดลูกถูกนับครั้งไม่ถ้วน แล้วคุณหละ....เคยท้อกับการคิดอะไรไม่ออกไหม๊ หลายคนบอก เคยซิ ผมเองก็เป็นคนหนึ่ งที่เคยนั่งนิ่งๆเพราะคิดอะไรไม่ออกเช่นกันครับ แต่แล้วการนิ่งหรือ การปล่อยวาง มักจะทำให้ไอเดียและความคิดพรุ่งพรูออกมาเอง และอย่าลืม! กับการบันทึกไอเดียนั้นไว้ และไม่ปล่อยผ่านไป

หรือแม้กระทั่งไอเดียนั้นเกิดมาจากความบังเอิญ เช่น Spencer Silver นักวิทยาศาสตร์แห่ง 3M ผู้คิดค้น กระดาษโน๊ต Post it ซึ่งกว่า 30 ปีแล้วที่ไอเดียนั้นยังคงมีการใช้กันมาอย่างต่อเนื่อง นั่นแหละครับ ที่นักออกแบบหลายคน อยากจะแค่หลับตาแล้วไอเดียลอยมาในหัวได้ ทุกๆครั้ง 

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป้นอย่างนั้นบ้าง..





จงปล่อยวางบ้าง เพื่อให้เราสามารถทำสิ่งอื่นๆที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่าได้
นาย นาย

เราใ้ห้คุณมากกว่า โคมไฟ ให้แสงสว่าง

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โคมไฟ แสงสว่างกับการอ่านหนังสือ




โคมไฟแสงสว่างกับการอ่านหนังสือ


 อ่านหนังสือไปแล้วรู้สึกเคืองตา บางครั้งก็รู้สึกว่าตาพร่า รู้สึกหนังสือตรงหน้าช่างเจิดจ้าเหลือเกิน 





     สาเหตุหนึ่งที่เป็นตัวการก็คือ แสงสว่างในบริเวณที่เราใช้อ่านหนังสือนั่นเอง ซึ่งบางครั้งเราอาจจะคิดว่าแสงที่มีอยู่ก็สว่างพอแล้ว เห็นตัวหนังสือปกติดี แต่จริงๆแล้ว แสงสว่างขนาดไหนถึงจะเหมาะสมและปลอดภัย มาดูกัน



หลายคนคงรู้ว่า การอ่านหนังสือในที่มืด หรือแสงสว่างน้อยจะทำให้ตาของเราเสียได้ ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือควรจะหาบริเวณที่แสงสว่างเพียงพอ ไม่มีแดดจ้าจนเกินไป เพราะเวลาแสงมากระทบกับหนังสือก็จะเกิดแสงสะท้อนกลับมาด้วย ซึ่งถ้าเกิดการสะท้อนนั้นเข้าตาเราจนมากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายได้



     แสงสว่างที่เหมาะต่อการอ่านหนังสือ ตามหลักวิชาการจะเรียกว่าดูความเข้มแสงที่เพียงพอต่อการอ่าน โดยจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า lux - meter ซึ่งจะวัดความเข้มแสงออกมาเป็นตัวเลข โดยความเข้มแสงที่เหมาะกับการอ่านหนังสือจะอยู่ที่ 300-500 lux แต่เราจะเอาอะไรมาวัดใช่ไหม ดังนั้น เวลาอ่านหนังสือในแสงสว่างปกติ ที่ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไปจะดีที่สุด อาจจะอยู่ในร่มที่ไม่มีแดดส่องมาโดน หรือหนอนหนังสือนอนดึก ชอบอ่านตอนกลางคืน อาจจะต้องเปิดโคมไฟส่องเวลาอ่านหนังสือ


    ซึ่งโคมไฟที่ใช้อ่านหนังสือก็ต้องเลือกด้วยนะ โดยแสงไฟจากโคมไฟที่ใช้ ไม่ควรเลือกแสงสีขาว หรือสีเหลืองจนเกินไป เพราะแสงแบบนี้จะแยงตาไม่เหมาะกับการอ่านหนังสือ ควรใช้หลอดตะเกียบที่มีแสงสีนวล (warm white)  ซึ่งหลอดอีกประเภทคือหลอดที่มีแสงสีขาว (Cool Daylight) นั้น ไม่เหมาะสำหรับอ่านหนังสือนัก 


     บางครั้งโคมไฟอ่านหนังสือทั่วๆ ไปจะใช้หลอดไส้ แต่ตัวหลอดจะออกสีฟ้าๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะ หลอดไส้จะให้แสงสีเหลือง พอแสงตัดกับผิวหลอดที่เป็นสีฟ้า สีจะเปลี่ยนเป็นเหลืองอ่อน และหลักการที่สำคัญในการตัดตั้งโคมอ่านหนังสือ คือ จะต้องวางอยู่มุมซ้ายของหัวโต๊ะ เพื่อที่จะไม่ให้แสงตกกระทบมาแยงสายตา และเป็นการลบเงาที่เกิดขึ้นระหว่าง อ่านหรือเขียนหนังสือด้วย



     รู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆ คงจะได้นำไปลองใช้ดู เพื่อที่ว่าเราจะได้หาโคมไฟอ่านหนังสือได้อย่างมีความสุข พร้อมกับถนอมสายตาของเราให้สมบูรณ์ไปอีกนาน เวลาอ่านก็อาจเลือกช่วงที่แสงสว่างพอเหมาะ อย่างน้อยๆ ก็คงไม่เลือกอ่านกลางแจ้งตอนเที่ยงตรงนะ ทั้งร้อนทั้งเสียสายตาด้วย 




วันนี้คุณเปลี่ยนเป็นหลอดประหยัดไฟแล้วหรือยัง?
มากกว่าโคมไฟให้แสงสว่าง


วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

สัมมนาพาเพลิน....จริงหรือ?

กว่า 1000 ครั้ง กับการเข้าร่วมอบรมสัมมนา รวมทั้งเป็นวิทยากร พบเจอผูคนหลากหลาย แต่การเข้าสัมนาหรืออบรมนั้นหลายครั้งทำเราผมรู้สึกว่า มันช่าวซ้ำๆกัน วนไปวนมาตามงบประมาณที่จะลงหน่วยงานนั้น ซึ่งในบางครั้งงบประมาณที่ลงมาก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าอบรมได้ เพียงแค่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่หน่วยงานนั้นๆต้องทำตามปฏิทินงบประมาณ

อย่างไรแล้วการจัดกิจกรรมอบรมสัมนาของหน่วยงานภาครัฐก็อาจจะมีประโยชน์บ้าง ขึ้นอยู่กับผู้เข้าร่วมว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้มากน้อยเพียงใด ผมชักสงสัยว่าที่ผ่านมาการเกณฑ์คนเข้าอบรมนั้น แค่ต้องการให้ครบ KPI หรือว่าอยากให้คนที่เข้าได้รับความรู้จริง

หลายครั้งที่เข้าอบรม หลายคนคงมีอาการง่วงนอนอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากหัวข้อและวิทยากรบางครั้งไม่ได้ทำเต็มที่และยากจนเกินไป ในการอบรมสัมมนาหากมีการสอดแทรกกิจกรรมและวิทยากรสร้างอารมณ์ร่วมให้เก่ง ทำให้บรรยากาศมีเสียงหัวเราะบ้าง มีการเดินไปพบกับผู้เข้าอบรวมบ้าง มีการใช้เสียงสูงเสียงต่ำ สบตาผู้เข้าอบรมบ้าง เพื่อสร้างบรรยากาศ

จากประสบการณืที่ผ่านมา การหาวิทยากรนั้นเห็นกระชั้นชิดมากเกือบทุกครั้งก่อนงานอบรม ช่างเป้นอะไรที่ตรงกันกับการเร่งใช้งบประมาณก่อนส่งคืนคลัง สุดท้ายกิจกรรมอบรมสัมมนาจะไปในทิศทางใดอยู่ที่ผู้เข้าอบรมทุกท่านแหละครับว่าจะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างไร